IV : Stock

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Notes : กฎการลงทุน 16 ข้อของ Sir John Templeton


กฎการลงทุน 16 ข้อของ Sir John Templeton
--------------------------------------------------------------------

Sir John Templeton ถือว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนระดับ “ตำนาน” คนหนึ่งของโลก และเป็นผู้ก่อตั้ง Templeton Growth Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่มีผลงานดีเด่นอย่างต่อเนื่อง ทำผลตอบแทนในช่วงเวลา 50 ปี (1954 – 2004) ได้เฉลี่ย 13.8% ต่อปี สูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่ได้ผลตอบแทน 11.1% ต่อปี


Sir John Templeton ถือว่าเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) โดยมีหลักในการลงทุน 16 ข้อ ดังนี้

1. Invest for Maximum Total Real Return จงลงทุนเพื่อผลตอบแทนรวมที่แท้จริง – ต้องดูผลตอบแทนหลังหัก เงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน ภาษี ฯลฯ ด้วย

2. Invest – Don’t Trade or Speculate จงลงทุน อย่าเก็งกำไรหรือซื้อๆขายๆ – ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อน แต่หากเก็งกำไรหรือเทรดบ่อยๆ อาจจะเก็งผิดทางทำให้ขาดทุนหนักได้ และจะพบว่ากำไรส่วนใหญ่จะหายไปกับค่าคอมมิชชั่น

3. Remain Flexible and Open-minded about Types of Investment จงมีความยืดหยุ่นและเปิดใจให้กับการลงทุนหลากหลายประเภท – โลกของการลงทุนไม่ได้มีแค่หุ้นเท่านั้น บางครั้งหากไม่มีหุ้นน่าลงทุนก็อาจจะโยกเงินไปซื้อพันธบัตร หรือถือเงินสด ได้

4. Buy Low ซื้อตอนราคาต่ำ – บางครั้งเราซื้อหุ้นตามเพื่อน โดยไม่ได้ดูว่าหุ้นถูกหรือแพง

5. When Buying Stocks, Search for Bargains among Quality Stocks เมื่อซื้อหุ้นให้ค้นหาหุ้นที่ลดราคาในกลุ่มหุ้นที่มีคุณภาพ – เลือกบริษัทที่มีแบรนด์ที่ลูกค้าเชื่อถือ อยู่ในธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง สินค้าและบริการมีคุณภาพดี ฯลฯ

6. Buy Value. Not Market Trends or the Economic Outlook เน้นเลือกหุ้นคุณค่ารายตัว ไม่ใช่ซื้อแนวโน้มตลาดหรือเศรษฐกิจ

7. Diversify. In Stocks and Bonds, As in Much Else, There is Safety in Numbers กระจายการลงทุนในหุ้นและพันธบัตร และหลักทรัพย์อื่นๆ

8. Do Your Homework or Hire Wise Experts to Help You ทำการบ้านเองหรือ (ถ้าไม่ไหว) ให้มืออาชีพมาช่วยดีกว่า – นักลงทุนต้องศึกษาหุ้นและการลงทุนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จงจำไว้ว่าโดยปรกติคุณซื้อกำไร (Earnings) หรือไม่ก็สินทรัพย์ (Assets) หากคิดว่าบริษัทจะโต เราจะซื้อหุ้นเพราะคาดหวังกำไรในอนาคต หากคิดว่าบริษัทจะถูกควบกิจการ เราจะซื้อหุ้นเพราะต้องการสินทรัพย์

9. Aggressively Monitor Your Investments ติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด – โลกของธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ควรเตรียมใจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับพอร์ตของเราเสมอ แต่ก็ไม่ต้องเครียด เพียงแต่ต้องเอาใจใส่ดูแลพอร์ตบ้าง

10. Don’t Panic อย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ – หากหุ้นตกแรง อย่าตกใจแล้วรีบเทขาย จงถือหุ้นในพอร์ตเอาไว้ก่อน เว้นแต่ว่ามีหุ้นตัวอื่นที่น่าซื้อมากกว่า

11. Learn from Your Mistakes เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง – ในการลงทุน มีเพียงแค่วิธีการเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดคือการไม่ต้องลงทุน ซึ่งกลับกลายเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุด ดังนั้นนักลงทุนต้องรู้จักให้อภัยตนเอง เรียนรู้จากข้อผิดพลาดและรู้ว่าครั้งต่อไปจะแก้ไขอย่างไร

12. Begin with a Prayer เริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน – ปรับสภาพจิตใจและตั้งสติให้ดีๆ

13. Outperforming the Market is a Difficult Task การเอาชนะตลาดเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก –ความท้าทายของนักลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่การเอาชนะนักลงทุนรายย่อยทั่วไป แต่อยู่ที่จะทำอย่างไรให้ตัดสินใจได้ดีกว่านักลงทุนสถาบัน รายใหญ่ที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก

14. An Investor Who Has All the Answers Doesn’t Even Understand All the Questions นักลงทุนที่มีคำตอบทุกอย่างไม่เข้าใจแม้แต่คำถามทั้งหมด – ความมั่นใจในตนเองที่มีมากเกินไปโดยอาจจะนำพาไปสู่ความผิดหวังหรือหายนะได้ไม่ช้าก็เร็ว

15. There is No Free Lunch ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ –ไม่ควรลงทุนเพียงเพราะเพื่อนแนะนำหรือมีนักวิเคราะห์หลายคนเขียนเชียร์ให้ซื้อ จำไว้ว่า “ไม่มีใครให้อะไรใครฟรีๆ”

16. Do Not Be Fearful or Negative Too Often อย่ากลัวและมองโลกในแง่ร้ายบ่อยนัก – ตลาดหุ้นมีลงได้ ก็มีขึ้นได้ ในระยะเศรษฐกิจต้องเติบโต คนต้องกินต้องใช้ วันที่หุ้นตกแรงๆ อาจจะเป็นจังหวะของการได้เก็บของถูก อย่าลืมว่าต่อให้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่หลักการลงทุนยังเหมือนเดิม นั่นคือ “ซื้อถูก ขายแพง”


Cr : P,Tin

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Notes : คำคมการลงทุน By นานิ



1. “The four most dangerous words in investing are: ‘this time it’s different.’”
                                                                                               - Sir John Templeton –

“ประโยคที่อันตรายที่สุดในการลงทุนก็คือ: ครั้งนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน”

ทุกครั้งที่ตลาดหรือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มนึง พุ่งขึ้นไปสูงมากๆจนเกินมูลค่าพื้นฐาน แทนที่จะกลัว ผู้คนมักจะเปี่ยมไปด้วยความหวัง คิดว่าครั้งนี้ ประเทศเจริญกว่าสมัยก่อนเยอะ ครั้งนี้บริษัทแข็งแกร่งและมีโอกาสรอดมากกว่าครั้งก่อนมาก ทุกครั้งที่ตลาดขึ้น คนมักจะลืมไปเลยว่าตลาดหุ้นน่ะ มันก็สามารถลงได้ มีขึ้นก็มีลง อย่างที่เคยเห็นมาในอดีต
2. “Know what you own, and know why you own it.”
                                                                                  - Peter Lynch -

“คุณต้องรู้ว่าคุณถือหุ้นอะไรอยู่ , แล้วก็รู้ด้วยว่าทำไมคุณถึงถือมัน”

นักลงทุนหลายคนคิดว่าการวิเคราะห์เลือกหุ้น นั้นหมายถึงการอ่านบทวิเคราะห์ หรืออ่านข่าว แล้วก็ซื้อตามคำแนะนำของบทความเหล่านั้น หรือไม่ก็ซื้อตามคำบอกของเพื่อนหรือคนรู้จักที่บอกว่า ‘มีข่าววงใน’ แต่การจะอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาวนั้น การที่เรารู้ ‘ข่าว’ เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นมันไม่พอ เราต้องรู้ เข้าใจบริษัท และก็ต้องมีเหตุผลที่ดีพอให้เราฝากเงินลงทุนไว้ด้วย จะว่าไป นานิเคยแนะนำไปแล้ว แต่อยากจะย้ำอีกรอบ หนังสือที่เปลี่ยนชีวิตการลงทุนของนานิคือ ‘เหนือกว่าวอลสตรีท’ ของ Peter Lynch คนนี้นี่แหละ

3. “Investing should be more like watching paint dry or watching grass grow. If you want excitement, take $800 and go to Las Vegas.”
                                - Paul Samuelson –

“การลงทุนมันควรจะเหมือนการนั่งมองรอให้สีแห้ง หรือคอยจ้องรอให้ต้นหญ้าโต ถ้าคุณอยากได้ความตื่นเต้น คุณก็ควรเอาเงิน 800 เหรียญไปลาส เวกัส (เสี่ยงลงการพนัน) แทน”

นักลงทุนหน้าใหม่ อดทนไม่พอที่จะรอความสำเร็จ พวกเค้ามักจะลืมไปว่า สมการแห่งความสำเร็จในการลงทุน มันไม่ได้มีตัวแปรแค่ จำนวนเงินต้น กับ อัตรากำไร เท่านั้น แต่ตัวแปรสำคัญอีกตัวก็คือ ระยะเวลา หลายคนเข้ามา เพ่งความสนใจไปแต่ที่กำไรระยะสั้น อยากได้ความเร้าใจ แต่การลงทุน ความอดทน วินัย และความสามารถในการรอต่างหาก ที่จะเป็นฐานให้เราสร้างพอร์ตที่สวยงามได้
Ref : http://money.sanook.com/221047/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81/

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

Notes : A Gift to My Children: A Father’s Lessons for Life and Investing

สิ่งที่เห็นในหนังสือ สะท้อนบุคลิกของ Jim อย่างเต็มตัวที่เต็มไปด้วยการมองภาพใหญ่และแนวโน้มในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม BRICs (Brazil, Russia, India, China) มุมมองที่ Jim มีต่อจีน ผมค่อนข้างเห็นด้วยในหลาย ๆ ประเด็น ซึ่งเป็นมุมมองที่แสดงให้เห็นว่า Jim ได้เข้าไปสัมผัสจีนด้วยตนเอง และยังเป็นหนึ่งในนักลงทุนต่างชาติไม่กี่รายที่เข้าใจจีนและเก็บเกี่ยวจากมันได้มากขนาดนี้
ประเด็นหลักในหนังสือ

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

Notes : ไขทุกข้อข้องใจทฤษฎีผลประโยชน์ กับพิชัย จาวลา

ไขทุกข้อข้องใจทฤษฎีผลประโยชน์ กับพิชัย จาวลา 1/4
https://www.youtube.com/watch?v=2VKEqhoXJzI

ไขทุกข้อข้องใจทฤษฎีผลประโยชน์ กับพิชัย จาวลา 2/4
http://www.youtube.com/watch?v=shDHRw8PgMs&feature=youtu.be

ไขทุกข้อข้องใจทฤษฎีผลประโยชน์ กับพิชัย จาวลา 3/4
http://www.youtube.com/watch?v=DYF3joYkEKc&feature=youtu.be

ไขทุกข้อข้องใจทฤษฎีผลประโยชน์ กับพิชัย จาวลา 4/4
http://www.youtube.com/watch?v=_vSpNrPD6ig&feature=youtu.be

หวังว่าจะเป็นไอเดียดีๆ นะครับ

Notes : อะไรที่ทำให้คนส่วนมากมาแล้วก็ไป

คนส่วนใหญ่มักขาดทุน และ คนส่วนน้อยมักได้กำไร ทำไม?????  ทำไม????

มันน่าคิดนะ ว่าทำไม คนเก่งคนที่มีความรู้ คนที่ประสบความสำเร็จในสายงานแค่ละอาชีพ แต่พอเข้ามาในตลาดทุนกับขาดทุน และ ออกจากตลาดไปตามๆ กัน ทำไม
แล้วถ้าเราเลือกที่จะอยู่กับตลาดให้ได้ทั้งชีวิต เราจะทำยังไง ผมมานั่งคิดเรื่อยๆ ระยังคงคิดต่อไปเรื่อยๆ ว่าทำไมเป็นแบบนั้น และ มันมีทางไหม

ผมเคยได้ยินมาว่า
80% ขาดทุน 20% กำไร
20 % ยังถูกจำแนกได้อีก เป็น 15% แค่อยู่รอด และ กลุ่มคน 2 - 5% เท่านั้นที่รวยจริงๆ



วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

Notes : Efficient Market Theory

Efficient Market Theory 
1. นักลงทุนมีความรู้สามารถวิเคราะห์ ประเมินคุณค่า และซื้อขาย หลักทรัพย์อย่างละเอียด
2. ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่สำหรับนักลงทุน ทั่วถึงและกว้างขวาง ในเวลาที่พร้อมกันและสามารถค้นหาได้อย่างไม่มีต้นทุน
3. ส่วนข้อมูลข่าวสารจำพวกเหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดแบบ Random เช่น การประท้วงของแรงงาน วิกฤติในอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ต่อสินค้า
4. นักลงทุนตอบสนองต่อข่าวสารใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เป็นสาเหตุให้ราคาปรับตัวอย่างรวดเร็ว และแม่นยำ

Ref : http://www.iammrmessenger.com/

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

Notes : บทเรียนจาก แอนโทนี่ โบลตัน


บทเรียนที่ แอนโทนี่ โบลตัน ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในการเป็นผู้จัดการกองทุนตลอด 25 ปีของเขา 
1.เข้าใจความได้เปรียบเชิงแข่งขันและคุณภาพของบริษัท ธุรกิจที่น่าสนใจคือธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืนเป็นระยะเวลายาวนาน สิ่งที่ควรถามก็คือในอีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทนี้จะยังคงอยู่หรือไม่และบริษัทน่าจะมีมูลค่าสูงกว่านี้อีกเท่าไหร่
2. เข้าใจตัวแปรสำคัญๆ ที่เป็นตัวผลักดันธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแปรที่บริษัทควบคุมไม่ได้อย่างเช่น ค่าเงิน, อัตราดอกเบี้ย และภาษี ธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่สามารถควบคุมชะตากรรมส่วนใหญ่ของตัวเองได้
3. สนใจธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย มากกว่าธุรกิจที่ซับซ้อน สำหรับเขาแล้วความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจ ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงๆ ในการดำเนินธุรกิจจะมีความน่าสนใจน้อยกว่า
4. ฟังข้อมูลจากผู้บริหารโดยตรง เขาชอบผู้บริหารที่ตรงไปตรงมาและไม่ขี้โม้ เขาอยากได้ยินทั้งข่าวดีและข่าวร้ายของบริษัท
5. หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีผู้บริหารไม่ซื่อสัตย์ และไม่มีความน่าเชื่อถือในทุกกรณี

Ref : https://www.facebook.com/set.or.th/photos/a.177703174974.27048.95359944974/10150446202934975/?type=1&fref=nf

ชาร์ลียังคงรวบรวมและวิจัยความล้มเหลวของบุคคล ธุรกิจ รัฐบาล และการศึกษาอย่างสม่ำเสมอ

  จากนั้นจึงเรียบเรียงสาเหตุเพื่อนำไปสู่รายการเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้เขาสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตได้
ชาร์ลีมีความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด เขามีความกระตือรือร้นและมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์อย่างสูง สำหรับเขาแล้วทุกปัญหาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง ในมุมมองเขา ทุกสิ่งในจักรวาลมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเพียงแค่เรียงร้อยความรู้เหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้เขาอุทิศในการศึกษาทุกทฤษฎีที่สำคัญ และสร้างพื้นฐานขึ้นมาเรียกว่า "ปรัชญาของคำพูด" (Worldly Wisdom) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจและลงทุน
แนวความคิดของชาร์ลีอยู่บนพื้นฐานความซื่อสัตย์ต่อความรู้ เขาเชื่อว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ขีดจำกัดของมันอยู่ที่ความหยั่งรู้และความเข้าใจ ในขณะเดียวกันคุณต้องรวบรวมข้อเท็จจริงใหม่ๆ ที่พิสูจน์ได้ เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงความรู้ของคุณ และรู้ว่าสิ่งใดที่คุณรู้และสิ่งใดที่คุณไม่รู้ ถึงกระนั้น ความเข้าใจอย่างแท้จริงของมนุษย์ก็ยังมีขีดจำกัด ดังนั้นการตัดสินใจจึงต้องอยู่ในขอบเขตของคุณที่เรียกว่า “ขอบเขตของความรู้” (Circle of Competence) ความสามารถที่มีขอบเขตเท่านั้นถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริง คำถามอยู่ที่ว่าคุณจะกำหนดขอบเขตความรู้ของคุณได้อย่างไร
ชาร์ลีกล่าวว่า ถ้าเขาต้องเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะต้องไม่สามารถปฏิเสธหรือโต้แย้งได้ว่าความคิดนั้นดีกว่า ความคิดจากคนที่เก่งที่สุดในโลกนี้ที่เคยมีอยู่แล้ว  มิฉะนั้นเขาจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด นั่นหมายความว่าความคิดของเขานอกจากจะต้องริเริ่มสร้างสรรค์แล้วจะต้องไม่เคยผิดอีกด้วย

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

Notes : แนวคิด ชาร์ลี มังเกอร์


“ผมอยากรู้ว่าผมจะตายที่ไหน เพื่อที่ผมจะได้ไม่ไปที่นั่น” เป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงวิธีคิดของ “ชาร์ลี มังเจอร์” รองประธานบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ได้เป็นอย่างดี

    “ลี ลู” นักลงทุนเชื้อสายจีนที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับ “ชาร์ลี มังเจอร์” กล่าวถึงบุรุษผู้นี้ว่า “ชาร์ลีเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร โดยเฉพาะเอกลักษณ์ในเรื่องความคิดและบุคลิกภาพ เมื่อไหร่ที่ชาร์ลีคิดในสิ่งใด เขามักจะคิดในทางตรงกันข้าม เช่น เมื่อเขาอยากรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข ชาร์ลีจะศึกษาว่าทำอย่างไรชีวิตถึงจะทุกข์ เมื่อเขาเรียนรู้วิธีจะทำให้ธุรกิจยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง เขาจะเริ่มศึกษาวิธีทำอย่างไรให้ธุรกิจตกต่ำและจบลง หลายคนศึกษาวิธีที่จะประสบความสำเร็จจากตลาดหุ้น แต่ชาร์ลีจะศึกษาว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงได้ล้มเหลวจากตลาดหุ้น”

    “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็เคยกล่าวถึงการมองมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” คู่หูของเขาว่า “บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกว่าการศึกษาความล้มเหลวของธุรกิจมีประโยชน์กว่าการ ศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ โดยทั่วไปสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจมักจะศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ แต่หุ้นส่วนของผม – ชาร์ลี มังเจอร์ กล่าวว่า เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ไปที่นั่น” 


Ref : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=57985

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Notes Inspiration : Tony Robbins: Why we do what we do


0:11 (ปรบมือ) ขอบคุณครับ งานนี้ขอบอกว่าทั้งตื่นเต้นและหนักใจ ติ่นเต้นเพราะเป็นโอกาสที่จะได้ตอบแทนพวกท่าน หนักใจเพราะสัมมนาที่สั้นที่สุดของผมอยู่ที่ 50 ชั่วโมง (หัวเราะ) ไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมจัดช่วงสุดสัปดาห์ และมากกว่านั้นด้วยซำ เพราะเวลาฝึกคนนั้น ผมทำอย่างทุ่มเทสุดๆ คิดดู คุณเรียนภาษาอย่างไร คุณไม่ได้เรียนแค่หลักการ คุณลงมือและฝึกใช้มันบ่อยๆจนกลายเป็นธรรมชาติ

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Notes แนวทา Trade : Trend Follows

Trend Follows
Step Investment
  1. วิเคราะห์หุ้น Growth Stock พื้นฐานดีแนวโน้มเติบโตสูง
  2. จำแนวประเภท List หุ้น Cycle , Trend 
  3. วิเคราะห์หุ้นโดยรวมว่าตัวไหนมี Trend หรือ Cycle อะไรกำลังมา
  4. ใช้ TA วิเคราะห์อารมตลาด และ Timing ในการซื้อขายด้วย Price Action
  5. จัดสรรเงินสำหรับลงทุน SET & TFEX ( Money Management )
  6. ค้นหาสินค้าที่มีสภาพเเวดล้อมที่เหมาะกับ Trend Following ด้วย Asset Allocation
  7. Daily Trade Journal เสมอ สำหรับวิเคราะห์ตัวเอง
  8. ย้อนกลับไปทำข้อ 1 ใหม่

Notes Loss/Recovery Table

ตารางแสดงการขาดทุนและการกู้คืน
ในการลงทุน สิ่ง ที่สำคัญ ที่สุดมากกว่ากำไรคือการ ปกป้องเงินต้น มากกว่าหวังกำไรสูงสุด
จากตารางจะเห็นได้ว่า 5-10 % อัตราการกู้คืน ยังสามารถกู้กลับในเรทที่ไม่ห่างกันมาก แต่ถ้าเกิด ขาดทุนมาๆ เช่น ขาดทุน 50 % คุณ ต้องทำกำไร 100% ถึงจะ Recovery พอตกลับมาปกติได้

Ref : http://www.sarut-homesite.net/2013/09/blog-37-live-longer-perform-better-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94/

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Notes แนวคิด Trading Plan

หลักการ
การเลือก คือ การใช้พื้นฐาน
การซื้อ คือ เทคนิค
การถือ คือ ใจ
การขาย คือ ทำตามแผน

Trading Plan คือ วางแผนตั้งแต่การเลือกหุ้น เพื่อที่จะรู้ว่าหุ้นตัวนั้น ควร ถิอ ยาว หรือ ถือ แค่เล่นรอบและจากกัน และ ใช้เครื่องมือ ในการจับ Timing ในการเข้าซื้อ เข้าขาย และ พยายาม Run Trend ให้สุด โดนคอยสำรวจว่า มีอะไรตกเงือนไข ไหม ถ้าไม่มีพยายามอย่าออก ถ้าไม่เจอตัว อื่นที่โอกาสดีกว่า

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Notes ความจริงเกี่ยวกับงบการเงิน

บริษัทผมก็เป็นบริษัทหนึ่งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
การทำรายงานงบการเงิน เค้าจะทำ 3 ฉบับ แยกดังนี้
  1. ฉบับที่ส่งผู้บริหาร >> ของจริง
  2. ฉบับที่ส่งเสียภาษี >> ปรับแต่งแล้ว
  3. ฉบับที่ส่งหลักทรัพย์ >> ปรับแต่งแล้ว

Notes ประสบการณ์ คุณ วิชัย

วิชัย วชิรพงศ์ 
"สมัยที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ผมใช้..ผมจะลอกข้อสอบคนเก่ง แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน" ระหว่างการฝึกฝนตนเองของ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ ห้องเรียนแห่งประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา ก็คือ การเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดจาก "คนใกล้ตัว" เคล็ดลับที่วิชัยใช้เอาตัวรอด ในสมัยที่ยังเป็นมือใหม่ ไม่ต่างอะไรกับการ "เข้าถ้ำเสือ" ขโมยความรู้จากคนที่เป็น "มืออาชีพ" วิชัยบอกว่า ตอนที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง ยังอ่านทิศทางหุ้นไม่ออก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะใช้วิธี "ลอกข้อสอบ" จากคนที่เก่งกว่าเรา ความจริงที่ใครๆ ก็รู้ นักลงทุนรายใหญ่ มักจะ "จมูกไว" มีช่องทางในการรับรู้ข่าวสารได้รวดเร็วกว่ารายย่อย "ช่วงที่เรายังเรียนหนังสือไม่เก่ง ผมจะใช้วิธีลอกข้อสอบ คิดถึงสมัยเรียนหนังสืออยากสอบให้ผ่านก็ต้องแอบมองข้อสอบคนอื่น แต่คุณอย่าไปลอกข้อสอบคนที่เรียนไม่เก่ง เราต้องลอกข้อสอบจากคนที่เก่งกว่า" เขาแนะนำ วิชัยถ่ายทอดประสบการณ์ต่อว่า เมื่อเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นใหม่ๆ นักเล่นหุ้นทุกคนมักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า "เราต้องได้กำไร" ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราจะเล่นหุ้นขาดทุน แล้วส่วนใหญ่ยังเพ้อฝันว่าจะร่ำรวยในเวลาสั้นๆ วิธีคิดจะตรงข้ามกับนักเล่นหุ้นมืออาชีพ เขาจะยึดอยู่บนพื้นฐานของตลาดหุ้น ณ ขณะนั้น เสี่ยยักษ์กล่าวว่า สมัยก่อนที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ใช้ ผมจะลอกข้อสอบคนเก่ง แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน 

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Notes Idea ดีๆ จากไอดอลนักลงทุน

Summary
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอะไร สดท้ายทุกวิธี ทุกแนวทาง ใช้ได้หมด ขึ้นอยู่ว่าแต่ละวิธี วิธีไหนคือแนวทางเรามากกว่า ละรักที่จะทำมันจบ ^-^
 -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
P.หยง
  • อย่า Over Trade
  • ถ้าจะกิน กินให้สุด Trend 
  • กินเฉพาะ พุงปลา
  • ใส่ใจทุกรายละเอียด ทุกขั้นตอน
  • ตลาดทุน "สิ่งแรกที่ต้องทำคือรักษาทุน"

Notes แนวคิดการลงทุนที่ดี Mindset

Notes : MindSet.

     จากที่อ่านหนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จ หลายๆคน แต่ละคนจะมีอะไร ที่คล้ายๆ กัน พอสรุปได้ประมาณนี้ครับ เอามาประยุคใช้
  • การลงทุนที่ดี ควรเริ่มจากลงทุนในความรู้ก่อนเสมอ
  • ทุกคนพูดถึง อิทธิบาท 4* อันนี้สำคัญมาก
  • ทุกคนล้ม มาก่อนเสมอ และ ไม่ยอมแพ้
  • ทุกคน ผ่าน กฏ 10,000 มาก่อน ( ความเชื่อที่ว่า ถ้าทำอะไร 10,000 ชั่วโมง เราจะมีความชำนาญในด้านนั้นๆ )

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Notes ออมในหุ้นดีไหม

Notes ความเห็นส่วนตัวนะครับแชร์กันได้

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการออมแต่ละเภทกันก่อนครับ อิอิ
ประเภทการออมที่นิยมกัน 
1. ออมในหุ้น
            ผลตอบแทน  = ปันผล + ส่วนต่างราคา*
2. ออมในทอง
            ผลตอบแทน  = ส่วนต่างราคา
3. ออมในแบงค์
            ผลตอบแทน  = ดอกเบี้ย 3-4 % ต่อปี
4. ออมในอสังหา
            ผลตอบแทน  = ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น + ค่าเช่า*

จากผลตอบแทนข้างบน เลยไม่แน่แปลกใจทำไมคนนิยมไปลงทุนในหุ้น กับ อสังหากันสะเยอะนะครับ

Notes แนวคิด Cut Loss กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไร

Notes นิยามความหมาย Cut & Stop loss

  • Cut = ตัด , Cut loss = ตัดขาดทุน
  • Stop = หยุด , Stop loss = หยุดขาดทุน
แล้วแต่ว่านิยามของแต่ละคนจะนิยามยังไง เพราะ สุดท้ายมัน คือ หยุดการสูญเสีย/ขาดทุน อยู่ดี


วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Notes แนวคิดการแบ่งไม้ ซื้อเฉลี่ย ดีจริงไหม

Notes แนวคิดการแบ่งไม้ซื้อ 

1. Trend ขาลง = Invest Pyramid
    คือ ไม้แรกน้อย , ไม้สอง x 2 ,ไม้สาม x 3 หรือ 20% 30% 50% ตามลำดับแล้วแต่นิสัยแต่ละคน

2. Trend ขาขึ้น = Pyramid
     คือ ไม้แรก 50%, ไม้สอง 30%,  ไม้สาม 20% ปรับตามสัดส่วนของหน้าตัก


Notes แนวคิดการกระจายความเสี่ยง หุ้นหลายตัวดีจริงไหม

มุมมองความเห็นส่วนตัว
      ผมว่าเราไปยึดติดหนังสือตำราต่าง ๆ มากเกินไปว่าควรกระจายความเสี่ยงอย่างน้อยในหุ้น 10 ตัวในพอต นะ ต้องนี่นั่นนๆ เพื่อลดความเสี่ยง เอ่อ มันก็น่าจะดีนะ ถ้าเกิดเงินตูเกิน 10 ล้าน แต่เงินตู มีหลักหมื่น กระจาย 10 ตัว มรึงจะบ้าาาหรอออ ลุ้นเงินหลักสิบ ถึง หลักร้อย ฮึยยยย

ยกตัวอย่างเช่น
     เรามีเงิน 50,000 ละกัน ตามตำรา หนังสือบอกให้เรากระจายความเสี่ยง 10 ตัว ตกตัวละ 5,000 บาท หรือ กระจาย 5 ตัว ตัวละ 10,000 บาท
*ผลลัพท์ที่ตามมา
คือ ผมเคยลองลงตัวละ 10,000 นี่ตูนั่งศึกษา นั่งดูกราฟ นั่งวิเคราะห์ นั่งรอลุ้นเงินหลักร้อยหรอฟะเนี่ย เหอๆ
*ผมก็กลับมานั่งคิด แท้จริงแล้วตำราที่เค้าเขียนอะ คนเขียนมันระดับกองทุนเงินพอต์หลักหลายล้าน เค้าเลยสามารถที่กระจายความเสี่ยหลายๆ ตัวแล้วยังเห็นเม็ดเงินที่จับต้องได้
*สุดท้ายกลับมามองหน้าตักตัวเอง ว่าเงินมีเท่าไหร่ ละควรถือเยอะไหม

Notes แชร์ประสบการณ์ครั้งแรกในตลาดทุน

Notes : เริ่มต้นลงทุนใน SET ครั้งแรกวันที่ 20 ก.พ 2557

  • ใจจริงผมอยากเล่นหุ้นมาตั้งแต่ มหาลัยแล้ว แต่เนื่องจากผมมีข้ออ้างให้ตัวเองตลอดว่าเงินเราไม่พร้อม ความรู้ไม่พร้อม รออ่าน รอเรียนให้ครบก่อน ค่อยลงทุน กลัวขาดทุน ข้ออ้าง ต่างๆ นาๆ
  • ระหว่างทางผมก็ชอบอ่านหนังสือ เกี่ยวกับการลงทุน บลาๆ ค่าย S2M ผมมีเกือบหมด ผมว่าหนังสือเค้าดี อ่านเข้าใจง่ายดี และ ก็หนังสือการลงทุนต่างนาๆ อิอิ
  • พอทำงานเริ่มมีเงิน กับ ยืมญาติมาร่วมลงทุน 55 ตามหลักการ ( OPM ความรู้น้อยยังจะมีหน้าไปยืมเงินคนอื่นมาเสี่ยงอีก 555+ ) 

Notes เนื้อหาใน Blog นี้มาจากไหน

  • Blog นี้เป็นการสรุปความรู้ที่ผม ได้เรียน ได้ศึกษา ได้อ่านจากหนังสือ มาสรุปใจความตามแบบที่ผมเข้าใจ ซึ่งเท่ากับว่า "ไม่มีคำว่าสมบูรณ์" เพราะ ผมจะปรับไปเรื่อยๆ ในตามแบบที่ผมเข้าใจ ( ไม่มีถูกผิด ได้เงินก็ใช้เป็นพอ อิอิ )
  • ใช้สำหรับเตือนความจำเวลาย้อนกลับมาดูสิ่งที่ Notes ไว้ ดีกว่าจดลงสมุดโน็ต เพราะ มันไม่เสื่อมสภาพ แถมได้แบ่งปันด้วย ได้บุญกันไป
  • ใช้ Notes นี้สำหรับเเชร์มุมมอง และ แบ่งปัน ตามหลัก "Give and Take"
  • ข้อดีของการแชร์ ความรู้ มันจะทำให้คนเขียน Blog ที่แชร์ไอเดียต้องพยายามศึกษาเพิ่มเติ่ม เพื่อมาอัพเดท Blog ให้ดี ถ้าเราตายไป อย่างน้อยก็ ทิ้ง ความรู้ที่เรามีให้คนอื่นๆได้ เพราะตายไปเราเอาไรไม่ได้ แต่ Blog นี้ คงอยู่อีกนาน ถ้า Google ไม่ปิดสะก่อน 555+
  • อย่าเชื่อสิ่งที่เราอ่านทั้งหมด ต้องนำมาทดสอบ แล้ว Notes ในแบบที่ตัวเองเข้าใจกับมัน
  • ตลาดทุนมันใหญ๋ ไม่มีเหตุผลที่ต้องเก็บความรู้ไว้คนเดียว
  • Blog นี้จะสมบูรณ์มาก ถ้ามีคนที่อ่านแล้ว แชร์มุมมองเเบ่งปันความรู้ ให้ผม ผมก็จะเอามาปรับปรุงเนื้อหาใน Blog จากเพื่อนๆ คอมเม้น win win อิอิ 
Ref : 
       เนื้อหาในบล็อคนี้ต้องขอขอบคุณ "ครูหยง" ที่สอนแนวทาง หลักคิด ดีๆ เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอด

Notes เปิดบัญชีหลาย Broker ดีไหม

ข้อดีของการเปิดหลายบัญชี
  • ควรขอ Add Line Group หลายๆ  Broker เพื่อดูว่าแต่ละ Broker กำลังเชียร์อะไรอยู่
  • ศึกษาบริษัทที่สนใจ โดยการอ่านบทวิเคราะห์ของแต่ละสำนักที่เค้าทำการบ้านมาให้แล้ว
  • แต่ละ Broker จะมีการจัดอบรมฟรี ก็เลือกไปตามที่สนใจ
  • ไม่จำเป็นต้องโอนเงินเข้าไปในบัญชีที่ไม่เทรด อิอิ
ข้อเสียของการเปิดหลายบัญชี
  • เสียเวลาในการเปิด
  • เสียเเรงในการเขียนใบสมัคร 555+